วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เรื่อง "เวลา"
เขียนโดย ชาติ กอบจิตติ


เวลา นวนิยายแนวใหม่ของ ชาติ กอบจิตติ เขียนเสร็จเมื่อวันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2536 มีความยาวทั้งหมด 232 หน้า เป็นเรื่องราวของผู้กำกับภาพยนตร์คนหนึ่งที่สูญเสียภรรยาและลูกสาวไปให้กับการทำงานของตนเอง ที่เข้าไปดูละครเวทีของนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่กำลังลาโรง แรงจูงใจของเขาที่ทำให้ไปดูละครเวทีเรื่องนี้ก็เพราะได้อ่านคำวิจารณ์มาก่อนว่า เป็นละครเวทีที่น่าเบื่อที่สุดในรอบปีและเป็นละครเวทีที่เกี่ยวกับคนแก่ในบ้านพักคนชรา ทั้ง ๆ ที่กลุ่มผู้สร้างเป็นเพียงนักศึกษาที่ยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ
เวลา ใช้วิธีการเล่าเรื่องโดยสมมติให้ผู้อ่านเป็นผู้กำกับภาพยนตร์คนนี้ที่กำลังดูละครเวทีเกี่ยวกับชีวิตคนแก่อยู่ ในบางช่วงให้ตัวผู้กำกับฯนี้สนทนากับผู้อ่านและตัดสลับกับมุมกล้อง โดยดำเนินเรื่องผ่านช่วงเวลาในแต่ละชั่วโมงตั้งแต่เช้าจนเย็น ตอนจบเป็นการหักมุม โดยเฉลยว่าในห้องกรงที่ดูเหมือนว่ากักขังคนแก่คนหนึ่งที่คอยตะโกนซ้ำ ๆ ซาก ๆ ว่า "ไม่มีอะไร ไม่มีจริง ๆ" ก็ไม่มีอะไรเลยจริง ๆ ในห้องนั้น
ชาติ กอบจิตติ ได้อุทิศหนังสือเล่มนี้แด่ ปู่ ย่า ตา ยาย ของตัวเอง และของทุก ๆ คน พร้อมกับย้ำเสมอ ๆ ว่า นวนิยายของเขาเรื่องนี้น่าเบื่อจริง ๆ
หนังสือตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2536 โดยสำนักพิมพ์หอน ที่เจ้าตัวเป็นเจ้าของเอง ได้รับรางวัลนวนิยายดีเด่นแห่งปีประจำปี พ.ศ. 2537 และรางวัลซีไรต์ปีเดียวกัน[1] ซึ่งเป็นรางวัลซีไรต์ครั้งที่สองของชาติ กอบจิตติ ด้วย หลังจากที่เคยได้มาแล้วจาก คำพิพากษา ในปี พ.ศ. 2525

รูปแบบ
                นักวิจารณ์หนังสือบางท่านได้กล่าวแสดงทัศนะไว้ว่า เรื่องเวลา คล้ายกับละครเวที แต่ในที่นี้กลุ่มผู้วิจารณ์ขอจัดอยู่ในบันเทิงคดีประเภทร้อยแก้ว  รูปแบบ นวนิยาย
แก่นเรื่อง
            แก่นเรื่องหรือแนวคิดในนวนิยายแนวใหม่เรื่อง เวลา  มีทั้งแนวคิดหลักและแนวคิดรอง  แนวคิดหลักคือการที่ผู้แต่งชี้ให้เห็นถึงวิธีชีวิตของคนแก่ ที่อยู่ในบ้านพักคนชรา ผ่านฉากที่เป็นภาพของละครเวที ซึ่งแนวคิดหลักของมีความเด่นชัด ในแง่ของการทำให้ผู้อ่านเห็นภาพของคนแก่โดยที่ผู้แต่งได้สอดแทรกความคิดของตัวเองลงไปผ่านตัวละครที่เป็นผู้กำกับภาพยนต์ที่เข้าไปดูละครเวทีที่น่าเบื่อนี้  เช่นตอนที่ผู้กำกับภาพยนต์ได้ดูฉากที่คนดูแล(อุบล) ต้องคอยป้อนข้าวป้อนน้ำคนแก่ที่นอนอยู่บนเตียงผู้กำกับภาพยนต์ก็ได้บรรยายความรู้สึกของตัวเองออกมาว่า รู้สึกกลัวว่าเมื่อตัวเองแก่ตัวไปจะไม่มีคนดูแลเพราะลูกสาวคนเดียวก็ตายจากไปแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่ตัวเค้ากับภรรยาเท่านั้นที่ต้องคอยดูแลกันเอง โดยไม่รู้ว่าใครจะจากไปก่อน ซึ่งทำให้ผู้อ่านเข้าใจชีวิตได้อีกแง่มุมหนึ่งว่าในวันที่เราแก่ตัวลงจะมีใครคอยดูแลเราบ้าง  ส่วนแนวคิดรอง ของเรื่องก็มีหลายฉาก เช่นฉากที่ยายทับทิมเฝ้ารอให้ลูกที่มีอาการป่วยทางสติมาเยี่ยมซึ่งผู้อ่านจะได้รับความรู้สึก หดหู่และรับรู้ได้ว่าการรอคอยใครสักคนโดยไม่รู้เลยว่าเขาจะมาหรือเปล่ามันเจ็บปวด  นวนิยายเรื่องเวลามีแนวคิดที่หลากหลายผู้อ่านต้องพิจารณาและหาเหตุผลเพื่อทำความเข้าใจกับแนวคิดนั้นๆ
โครงเรื่อง
            นวนิยายเรื่อง เวลา มีโครงเรื่องที่ไม่ซับซ้อน  เพราะเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น จะดำเนินไปตามเวลาของนาฬิกา 
                การเปิดเรื่อง  เปิดเรื่องด้วยการบรรยายสภาพแวดล้อมที่ตัวละครในเรื่องก็คือ ผู้กำกับภาพยนตร์นั้นเห็น  “ ม่านเปิดเปิดขึ้นในความมืด  มีแต่ความมืดดำไม่เห็นสิ่งใด  ไม่มีเสียงเคลื่อนไหว ’’   ข้อความดังกล่าว ทำให้ผู้อ่านเกิดความสงสัยใคร่รู้ ว่าจะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น  หลังจากนี้  ทำให้เรื่องน่าติดตามมากขึ้น
                การดำเนินเรื่อง  ผู้แต่งได้ดำเนินเรื่องตามลำดับเวลาของการแสดงละครเวที   ซึ่งเหตุการณ์ในเรื่องจะดำเนินให้ถึงกิจวัตรประวันของคนแก่ ที่พบเห็นเรือนพยาบาล เห็นได้จากฉากที่คนแก่เดินไปอาบน้ำ บางคนก็อาบเองได้ แต่บางคนก็ต้องให้คนดูแลอาบให้  ตลอดเรื่องจะมีการสร้างปมปัญหาให้เกิดขึ้น   พร้อมทั้งผู้แต่งได้แสดงแนวคิดผ่านตัวละครที่เป็นผู้กำกับภาพยนต์ที่ได้นั่งดู ละครเวทีเรื่องนี้อยู่  เช่นฉากที่เป็นปมปัญหาสำคัญ  อาทิ   ผู้ชายที่อยู่ในห้องลูกกรงที่จะตะโกนว่า  “ ไม่มีอะไร  ไม่มีอะไรจริงๆ”  อยู่ตลอดเวลา   
หรือฉากที่          “ เป็นอะไรยาย ?”  เสียงของอุบลหวั่นวิตก  “  ไม่สบายหรือเปล่า?”   เธอจับแขนของยายจันทร์เขย่าเพื่อช่วยให้รู้สึกตัว
                                “ เงิน… เงินอิฉันหาย”   นางมองหน้าฟ้องเสียงเศร้า
                                ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกมา  ร่างทุกร่างที่กำลังเคลื่อนไหวเข้ามานั้นเหมือนต้องสาบให้หยุดอยู่กับที่
แล้วในการดำเนินเรื่องผู้อ่านจะเห็นการนำเสนอ ผ่านการแสดงใน 2 แบบคือ การแสดงแบบละครเวที   และแบบที่ทำเป็นภาพยนตร์  
                การปิดเรื่อง    มีการปิดเรื่องแบบพลิกความคาดหมาย  เป็นการปิดเรื่องที่ทำให้ผู้อ่านไม่ทันคิด  คือตลอดทั้งเรื่องทุกคนจะได้ยินเสียงผู้ชายตะโกนว่า “ ไม่มีอะไร  ไม่มีอะไรจริงๆ”  อยู่ตลอดเวลา ในห้องลูกกรง  แต่พอตอนจบกลับพบว่าไม่มีใครอยู่ในห้องนั้นเลย
                จากการอ่านนวนิยายเรื่องเวลา จะเห็นว่าผู้แต่งนำเสนอโครงเรื่องเป็นแบบใหม่ คือจะเน้นที่พฤติกรรมและความรู้สึกนึกคิดของตัวละครเป็นสำคัญ
วิเคราะห์เนื้อหา
                เรื่องเวลาเป็นการดำเนินเรื่องตามลำดับเวลา โดยตัวละครในเรื่องที่เป็นคนดูเป็นผู้เล่าเรื่อง ตัวละครที่เป็นผู้เล่าเรื่องนั้นเป็นผู้กำกับการแสดง เขาไปนั่งดูละครเวทีเรื่องหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นละครที่น่าเบื่อในรอบปี ซึ่งเรื่องนี้เปิดเรื่องด้วยฉากและบรรยากาศบนเวทีของละครเวทีที่เขามาดูว่าบนเวทีมีแต่ความมืด ไม่มีเสียงเคลื่อนไหว แล้วก็มีแสงพุ่งมาจับที่นฬิกาทรงโบราณ มีเสียงนาฬิกา ลูกตุ่มนาฬิกาแกว่งไปมา นาฬิกาบอกเวลาตีสี่สี่สิบห้านาที และเห็นร่างคนนอนอยู่ มีเสียงตะโกนแห้งๆในความมืดว่า “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆ” ซึ่งเสียงนี้จะดังเป็นระยะๆตลอดเรื่อง แล้วก็เกิดความเงียบขึ้น แล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างเชื่องช้าเรื่องราวก็ยังไม่เกิดอะไรขึ้น ซึ่งเสียงที่ดังเป็นระยะและความเงียบนี้เป็นการสร้างความสงสัยให้กับผู่อ่านว่าบนเวทีจะเกิดอะไร ซึ่งผู้เขียนต้องการปมปัญหาให้กับผู้อ่าน โดยจากเนื้อเรื่องตัวละครผู้เล่าเรื่องนั้นก็บรรยายถึงลักษณะและความรู้สึกต่างๆในการแสดงไปเรื่อยๆจนการแสดงบนเวลาได้ปรากฏขึ้นเป็นเรื่องราวของสถานสงเคราะห์คนชราในโรงพักฟื้นซึ่งเป็นการดำเนินเรื่องราวของชีวิตคนชราที่อาศัยอยู่ที่นั่น โดยมีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้น มีปัญหาเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเงินหาย มีการต่อปากต่อคำกับของตัวละคร มีเสียง “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริง” จากห้องปริศนามาเป็นระยะและยังเป็นปมปริศนาให้กับผู้อ่านเป็นระยะว่าห้องนั้นมีอะไร จนวันหนึ่งที่มีคนมาเลี้ยงข้าวคุณยายที่โรงพักฟื้นจึงทำให้รู้ว่าในห้องนั้นมีอะไร ในเรื่องนี้ตัวละครที่เล่าเรื่องก็จะนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเวทีมาสะท้อนกับชีวิตตัวเอง ว่าถ้าชีวิตตัวเองเป็นแบบนี้จะทำอย่างไร ถ้าเป็นละครที่ตัวเองกำกับฉากนี้จะทำอย่างไรให้น่าสนใจ เรื่องราวก็ดำเนินชีวิตของคนชราต่อไปเรื่อยๆ จนมีตัวละครที่เป็นคนชราคนหนึ่งตายซึ่งก็คือตัวละครที่ชื่อว่ายายอยู่ซึ่งแกตายอย่างสงบซึ่งการตายของตัวละครนี้ก็เป็นทำให้เรื่องราวเดินทางมาถึงจุดจบ เป็นการเฉลยห้องปริศนานั้นให้กับผู้ชมที่ดูละครเวทีและผู้อ่านได้รู้ว่าในนั้นมีอะไร แต่เมื่อเปิดห้องนั้นดูก็กับไม่พบอะไรเลยกลับเป็นห้องว่างป่าว ไม่มีเครื่องใช้ของใช้ที่ยืนยันว่าเคยมีคนเคยอยู่เลย การจบเรื่องของเรืองนี้จบแบบให้ผู้อ่านได้คิดเองว่าห้องว่างป่าวนั้นคืออะไร
ตัวละคร
การสร้างตัวละคร  ผู้เขียนสร้างตัวละครได้สมจริง  ตัวละครมีลักษณะนิสัยเป็นไปตามธรรมชาติ  โดยตัวละครทุกตัวมีบทบาทในการนำเสนอเนื้อเรื่องและตัวละครแต่ละตัวมีความสัมพันธ์กับเนื้อเรื่อง   ตัวละครมีลักษณะนิสัย  อารมณ์  ความรู้สึกหลากหลาย  และมีความสมจริงตามลักษณะของตัวละคร  ทำให้เรื่องดำเนินไปได้ด้วยดี 
การนำเสนอตัวละคร  ผู้เขียนนำเสนอตัวละครทุกตัว คล้ายกับการเล่าเรื่องโดยผ่านบทสนทนา กำหนดเหตุการณ์ต่างๆขึ้นมาแล้วค่อยๆเปิดตัวละครแต่ละตัว การเปิดเผยตัวละครแต่ละตัวนั้น ก็ทำให้ได้ทราบอุปลักษณะนิสัยของตัวละครแต่ละตัวโดยอัตโนมัติ
ลักษณะนิสัยและบุคลิกลักษณะของตัวละคร  ผู้เขียนสร้างตัวละครแบบคงที่  มีลักษณะนิสัยที่เป็นแบบฉบับ ใครดีก็ดีตั่งแต่เรื่องจนจบ ใครบ้าก็บ้าตั้งแต่ต้นจนจบเช่น ชายคนบ้าที่พูดว่า “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร จริงๆ “   เป็นลักษณะธรรมชาติของมนุษย์โดยทั่วไป  ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพอารมณ์และเหตุการณ์  คล้ายกับชีวิตจริง  สร้างความประทับใจให้ผู้อ่านเป็นอย่างยิ่ง 
บทบาทของตัวละคร  ในเรื่องเวลาประกอบด้วยตัวละครดังนี้
- ชายเขียนบท      เป็นคนที่ขยันทำงาน ไม่มีเวลาให้ครอบครัว  ทำงานทุ่มเทกับงานจนลืมดูแลตัวเองและคนในครอบครัวสุดท้ายไม่เหลือใคร อาจจะกล่าวได้ว่าชายเขียนบทเป็นผู้ดำเนินเรื่องหรือเล่าเรื่องนี้ทั้งหมดก็ว่าได้
- อุบล                     หญิงสาวที่คอยดูแลคนแก่ในเรือนพัก เป็นคนที่มีนิสัยเสมอต้นเสมอปลาย ใจดีมีเมตตา มีความผูกพันกับคนแก่ทุกคน จนตัดสินใจไม่ไปทำงานที่อื่น
- ลำเจียก               คนดูแลคนแก่อีกคนหนึ่ง ที่มีความเมตตาคิดว่าการทำงานกับคนแก่คือการำบุญ
- คนงานชาย        เป็นกำลังสำคัญอีกคนหนึ่งในการดูแลคนแก่ ทำงานทุกอย่างที่ผู้ชายพึงทำ
- คนบ้า                  ตัวละครที่อยู่ในกรงห้องขัง ชอบพูดคำว่า ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆ
- ยายบุญเรือน      ผู้ที่มีเชื่อสายผู้ดีเก่า ไม่เคยลืมฐานะเก่าของตน แม้ว่าสังคมที่มาอยู่จะเปลี่ยนไป แต่ในตอนท้ายสุดก็คิดได้
- ยายจันทร์           เป็นคนมีธรรมะในจิตใจ คิดดีกับทุกคน มุ่งแต่ใส่บาตรทำความดี ชอบขี้หลงขี้ลืม ทำเงินหาย เป็นเหตุให้ยายบุญเรือนกับยายอยู่มองหน้ากันไม่ติด
- ยายทับทิม          มีลูกชายคนเล็กที่เป็นบ้า คอยเป็นห่วงแต่ลูก เป็นแม่ที่รักลูกมาก
- ยายอยู่                 หญิงพิการที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เป็นคนใจบุญชอบทำบุญ
- ยายเอิบ               ชอบเสี่ยงโชคด้วยการเล่นหวย หวังว่าถ้ารวยก็จะไปจากที่แห่งนี้ จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
- ยายสอน             หญิงที่ปลงตกกับชีวิต ไม่มีห่วงใดๆทั้งสิน อยู่เพื่อรอวันตาย เห็นสัจธรรมในการมีชีวิต
- ยายนวล             เป็นคนที่เจ้าระเบียบ ละเอียดอ่อน จำแม่กระทั่งเลขที่อยู่บนธนบัตร       
                นอกจากนี้ยังมีตัวละครประกอบอีกหลายตัวเช่น เด็กขายน้ำ หลานชายและหลานสาวยายนวล ลูกยายทับทิม หญิงท้องแก่ สาวใช้ พ่อ แม่ เด็กหนุ่ม เด็กสาว ย่า คนขายล๊อตเตอร์ลี่
ฉากและบรรยากาศ

                ฉากและบรรยากาศมุ่งเน้นการอธิบายให้ผู้อ่านเข้าใจ  และมีการใช้นขลิขิตเพื่ออธิบายฉากและบรรยากาศและกิจกรรมของตัวละคร  เป็นงานเขียนซึ่งบรรยายฉากและบรรยากาศได้ดี  เมื่อได้อ่านจะทำให้เกิดความรู้สึกดูละครซ้อนละคร  การดำเนินเรื่องตอนต้นหรือตอนเปิดเรื่องใช้การบรรยายให้เห็นถึงฉากและบรรยากาศโดยรอบ  พร้อมกับกรแสดงความรู้สึกของผู้ชมละครเวทีและความคิดในการสร้างภาพยนตร์ของตัวละครที่ผู้เขียนสร้างขึ้น  ทำให้เกิดงานเขียนที่แสดงถึงการถ่ายทำภาพยนตร์สลับกันไปมากับบทละครเวทีและเนื้อเรื่องนวนิยาย  เช่น  ภาพเริ่มที่  ภาพใกล้มาก  ที่เข็มนาฬิกา  สักครู่  ตัดไป  ภาพใกล้มาก  ที่ลูกตุ้มนาฬิกา  แกว่งไป – แกว่งมา  ตัดไป  จากบทสนทนา  และบรรยาย ทำให้ได้รับรู้อารมณ์ความรู้สึก เห็นอกเห็นใจ  ช่วยเหลือแบ่งปัน  หวาดระแวง  ความรักและความสูญเสีย  รวมถึงทัศนคติของผู้สูงวัยในช่วง        บั้นปลายชีวิต  รวมทั้งสะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคมที่ไม่ดูแลใจใส่บุพการี  และนำมาปล่อยให้เป็นภาระของสังคม

 สำนวนภาษา



                ใช้ภาษาที่เรียบง่าย  กระชับรัดกุม  ระดับภาษาเป็นภาษาพูด  และภาษาเขียนทั่วๆไป  ในเรื่องเวลานี้ แบ่งงานเขียนได้ใน  3  ประเภท  คือ  บทละครละครเวที  บทภาพยนตร์  นวนิยาย  สลับกันคลอดทั้งเรื่อง  ซึ่งอธิบายและบรรยายฉาก  บรรยากาศ  กิจกรรมของตัวละคร  ลักษณะของตัวละครรวมทั้งความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร  มีการใช้คำเลียนเสียงธรรมชาติ  เช่นเลียนเสียงนาฬิกา  ติ๊กต็อก  ติ๊กต็อก  ติ๊กต็อก  มีกาใช้ภาษาพูดร่วมอยู่ด้วย   เช่น  นั่นแหละ  ตีห้า  และปรากฏคำที่เป็นคำศัพท์เฉพาะ  เช่น  ดอลลี่  สำนวนภาษาที่ใช้ในการสนทนา  เป็นคำพูดที่สุภาพ  เช่น  เรียกผู้ดูแลว่า  “คุณแม่”  และแทนตัวผู้พูดเองว่า “อิฉัน”  และแทนตัวผู้อื่นว่า “แม่”  ซึ่งเป็นสำนวนภาษาที่ค่อนข้างเก่า  เป็นคำที่ปรากฏไนสมัยก่อนเป็นส่วนใหญ่  เช่น  เอ็ง  ขี้ข้า  มันใช้เด็กยังกับใช้งัวใช้ควาย                          





ผู้สัมภาษณ์ : วันนี้จะมาถามรุ่นพี่ที่เคยจบไปจากม.รังสิต 
ผู้สัมภาษณ์ : เคยอ่านนวนิยายเรื่องเวลาไหมค่ะ ของคุณ ชาติ กอบจิตติ
K.Satit : เคยครับ

ผู้สัมภาษณ์ : คุณคิดว่านวนิยายเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นอะไรบ้าง
K.Satit : สะท้อนให้เห็นถึงสังคมไทยในปัจจุบันที่คนส่วนมากไม่มีเวลามักทุ่มเทให้กับสิ่งอื่นมากกว่าจนลืมดูแลคนข้างตัวอย่างเช่นคนใหญ่คนแก่ภายในบ้าน

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วข้อคิดที่ได้รับจากการอ่านนวนิยายเรื่องนี้คืออะไร
K.Satit : คนสูงอายุส่วนมากเขาก็มีจิตใจเหมือนกันเพียงแต่ว่าเขาแก่แล้วไม่สามารถทำอะไรได้เองแล้วก็ขี้หลงขี้ลืม จนเหมือนต้องมีคนเข้ามาคอยดูแล

ผู้สัมภาษณ์ : แล้วคุณคิดว่าผู้ที่ได้อ่านนวนิยายเรื่องนี้ จะรู้สึกอย่างไรบ้าง
K.Satit : อาจจะทำให้รู้สึกได้ว่า อาจกำลังลืมอะไรไปหรือเปล่า ลืมที่จะดูแลคนข้างตัว เช่นพ่อแม่คนแก่ภายในบ้าน ทำให้อาจจะรู้สึกขึ้นมาได้แล้วกลับไปดูแลคนข้างตัว

ผู้สัมภาษณ์ : มีอะไรฝากถึงคนอื่นไหม
K.Satit : คนเราเมื่อแก่ตัวลงไปก็ควรดูแลคนอื่นไว้เยอะเมื่อแก่ตัวจะได้มีคนดูแลในเวลาที่เราแก่ตัวลงไปตามกาลเวลา



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น